รร. ผมเอง

รร. ผมเอง

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การเคลื่อนไหวโดยอาศัยการไหลของไซโทพลาสซึม


                     อะมีบาไม่มีโครงสร้างในการเคลื่อนที่โดยเฉพาะ แต่จะเคลื่อนที่โดยการหลของไซโทพลาสซึมเป็นเท้าเทียม (pseudopodium) ไซโทพลาสซึมในอะมีบา แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
       1. เอ็กโทพลาสซึม เป็นไซโทพลาสซึมชั้นนอกที่มีลักษณะเป็นสารกึ่งแข็งกึ่งเหลว เรียกว่า เจล
       2.เอนโดพลาสซึม เป็นไซโทพลาสซึมชั้นในมีลักษณะค่อนข้างเหลว เรียกว่า โซล เนื่องจากการรวมตัวและแยกตัวของโปรตีนแอกทีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของไมโครฟิลาเมนต์ (สายใยเล็กๆมีมากมายอยู่ในไซโทพลาสซึม) ทำให้สมบัติของไซโทพลาสซึมเปลี่ยนจากเจลเป็นโซลและจากโซลเป็นเจล จึงเกิดการไหลของไซโทพลาสซึมไปในทิศทางที่เซลล์เคลื่อนที่ไป และดันเยื่อหุ้มเซลล์ส่วนนั้นให้โป่งออกเป็นเท้าเทียม ทำให้อะมีบาเคลื่อนที่ได้ เรียกการเคลื่อนที่นี้ว่า การเคลื่อนที่แบบอะมีบา (amoeboid movement)


วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ชีววิทยา ม.5 เทอมต้น

การเคลื่อนที่ของสัตว์
* การเคลื่อนไหว
* ข้อต่อ
* เซลล์กล้ามเนื้อและการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อ
เซลล์ประสาท
* ชนิดของเซลล์ประสาท
* การทำงานของเซลล์ประสาท
* การนำกระแสประสาท,อวัยวะของระบบประสาท
* สมอง
* เส้นประสาทสมอง,ไขสันหลัง
* ระบบประสาทส่วนปลาย
* ระบบรับความรู้สึก
ต่อม
* ชนิดของฮอร์โมน
* ต่อมใต้สมอง
* ต่อมไร้ท่อ,ฮอร์โมนเพศ,ฟีโรโมน
พฤติกรรม
* ประเภทของพฤติกรรม
* พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้
ระบบการสืบพันธุ์
* การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพสที่ไม่มีการปฏิสนธิ
* ระบบสืบพันธุ์เพศชาย
* อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
* ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
* อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
* การปฏิสนธฺและการฝังตัวของตัวอ่อน
* การปฏิสนธิในสัตว์
* การเติบโตและการพัฒนา
* การเปลี่ยนแปลงหลังจากปฏิสนธิ
* การคลอด
* ครรภ์แฝด
* ภาวะมีบุตรยาก
* การคุมกำเนิด
* รูปแบบการเจริญเติบโต

ผ่าปลาน่าสยอง

เริ่มผ่าคราฟฟ..!!!





เห็นเนื้อในแล้ว..!!!!


ผลที่ได้นั้นคือ


ความยาวของปลานิลหางหุบ   ได้     21.5    เซนติเมตร


ความยาวของปลานิลหางบาน ได้     22       เซนติเมตร

ความยาวของลำไส้ปลานิล      ได้     123     เซนติเมตร
 
ความยาวของครีบอกปลานิล    ได้     4        เซนติเมตร

ความยาวของครีบก้นปลานิล    ได้     3        เซนติเมตร

ความยาวของครีบเอวปลานิล   ได้     3        เซนติเมตร

ความยาวของครีบหลังปลานิล ได้     11      เซนติเมตร

มิญชวิทยา


มิญชวิทยา


               ในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์มีลักษณะเป็นท่อที่บุด้วยผนังเซลล์หลายชนิด อวัยวะทั้งหมดตลอดทางเดินอาหารประกอบด้วยชั้นผนังสำคัญ 4 ชั้นดังต่อไปนี้

• มูโคซา (Mucosa) เป็นชั้นในสุดของท่อทางเดินอาหารที่สัมผัสกับอาหารโดยตรง มีลักษณะแตกต่างกันออกไปเล็กน้อยในทางเดินอาหารแต่ละส่วน โดยเฉพาะในเนื้อเยื่อบุผิว (Epithelium) ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นชนิด Simple Columnar ยกเว้นในบริเวณที่มีการเสียดสีระหว่างสิ่งแวดล้อมสูงจะเป็นชนิด Stratified Squamous อาทิในบริเวณหลอดอาหารส่วนต้น เนื้อเยื่อบุผิวบางส่วนทำหน้าที่หลั่งสาร, ดูดซึม และหลั่งฮอร์โมน นอกจากนี้มูโคซายังรวมถึงชั้น "ลามินาโพรเพีย" (Lamina Propia) อันประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันร่างแห (Loose Connective Tissue) และชั้นกล้ามเนื้อเรียบเล็กน้อยเรียกว่า Muscularis Mucosae

• สับมูโคซา (Submucosa) เป็นชั้นของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันร่างแหที่ค่อนข้างหนาอยู่ถัดจากชั้นมูโคซาออกมา ประกอบด้วยหลอดเลือด, หลอดน้ำเหลือง และข่ายประสาท ในบางบริเวณมีต่อมหลั่งสารเมือกอีกด้วย ในชั้นนี้ยังเป็นที่อยู่ของ Submucisal Plexus (Meissner's plexus) ที่ควบคุมการทำงานของชั้นมูโคซา

มัสคูลาริสเอ็กเทอร์นา (Muscularis Externa) เป็นชั้นที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารอย่างยิ่ง ประกอบด้วยชั้นกล้ามเนื้อเรียบ 2 ชั้นเรียงตัวอยู่คือชั้นในที่จะเรียงตัวพันรอบท่อเป็นวง (inner layer encircle) และชั้นนอกที่เรียงตอนตามยาวขนานกับท่อ (outer layer run logitudinally) ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวแบบบีบรัดและผลักดันอาหารสู่ส่วนถัดไป ระหว่างกล้ามเนื้อทั้งสองชั้นนี้มีข่ายประสาทมายเอ็นเทอริก (Myenteric plexus) อยู่

• ซีโรซา (Serosa) เป็นชั้นนอกสุดของท่อทางเดินอาหารประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เกาะกันอย่างหลวมๆหุ้มด้วยชั้นเมโซทิเลียม (Mesothelium) แบบชั้นเดียว (simple squamous) ชั้นซีโรซาเริ่มต้นในช่วงหลอดอาหารส่วนล่างประมาณ 3 - 4 เซนติเมตรสุดท้าย และในชั้นนี้ของปาก, คอหอย และบริเวณส่วนใหญ่ของหลอดอาหารจะหุ้มด้วยชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเส้นใย (fibrous conncetive tissue) เรียกว่า "แอดเวนทีเทีย" (adventitia)

อวัยวะช่วยย่อยอาหาร



 



อวัยวะที่เกี่ยวข้อง

1. ปาก เป็นอวัยวะแรกของระบบย่อยอาหาร ภายในประกอบด้วยฟันทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ลิ้นทำหน้าที่ส่งอาหารให้ฟันบดเคี้ยว และคลุกเคล้าอาหารให้อ่อนตัว ต่อมน้ำลาย มีหน้าที่ผลิตเอนไซม์ในน้ำลายคืออะไมเลส (98% ของน้ำลายคือน้ำ)

2. หลอดอาหาร ทำหน้าที่หดตัว บีบอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร เพราะหลอดอาหารมีผนังมีกล้ามเนื้อที่ยึดและหดตัวได้ บริเวณคอหอยมีช่องเปิดเข้าสู่หลอดลมและหลอดอาหาร โดยส่วนบนของหลอดลมจะมีแผ่นกระดูกอ่อนปิดกั้นกันอาหารไม่ให้เข้าสู่หลอดลม ไม่มีต่อมสร้างน้ำย่อยแต่มีต่อมขับน้ำเมือกช่วยให้อาหารใหลผ่านได้สะดวก

3. กระเพาะอาหาร ผลิตกรดไฮโดรคลอริกและน้ำย่อยอาหารประเภทโปรตีนมีลักษณะเป็นถุง รูปร่างคล้ายตัว J ปกติกระเพาะอาหารที่ไม่มีอาหารจะมีขนาดประมาณ 45 มิลลิลิตร และสามารถขยายตัวเพื่อบรรจุอาหารได้ 1-1.5 ลิตร [2] กระเพาะอาหารสามารถย่อยได้โดยการบีบตัวทำให้อาหารแตกเป็นชิ้นเล็กๆ คลุกเคล้ากับน้ำย่อยในกระเพาะ ซึ่งน้ำย่อยประกอบด้วยกรดที่ใช้ย่อยโปรตีนชื่อว่าเปปซินและเรนนิน

4. ลำไส้เล็ก ผลิตน้ำย่อยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และดูดซึมสารอาหารเข้าสู่เซลล์มีรูปร่างเป็นท่อ ในลำไส้เล็กมีน้ำย่อยหลายชนิดใช้ย่อยอาหารได้ทุกประเภท ตั้งแต่คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ถ้าน้ำย่อยในลำไส้เล็กไม่พอจะมีน้ำย่อยจากตับและตับอ่อนเข้ามาช่วย โดยตับจะสร้างน้ำดีสำหรับย่อยไขมันให้มีขนาดเล็กลง นอกจากนี้ ลำไส้เล็กยังมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเกือบทุกชนิดอีกด้วย

5. ลำไส้ใหญ่ ดูดซึมน้ำ แร่ธาตุ วิตามินบางชนิดและกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำในลำไส้ใหญ่จะไม่มีการย่อยอาหาร ส่วนต้นของลำใส้ใหญ่มีไส้ติ่งซึ่งไม่ได้ช่วยย่อยอาหารแต่อย่างใด ส่วนปลายของลำไส้ใหญ่เป็นไส้ตรง เชื่อมต่อไปยังทวารหนัก

6. ทวารหนัก ขับถ่ายกากอาหาร





อวัยวะช่วยย่อยอาหาร

               การย่อยอาหารในคนนอกจากมีอวัยวะที่เป็นทางเดินอาหารแล้ว ยังมีอวัยวะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยย่อยอาหารโดยเฉพาะในการย่อยอาหารในลำไส้เล็ก เนื่องจากอวัยวะต่างๆที่ได้กล่าวมานั้นไม่สามารถที่จะย่อยสารอาหารบางชนิดได้ทำให้ต้องมีอวัยวะช่วยย่อยอาหาร ในการย่อยสารอาหารบางชนิดได้แก่ตับและตับอ่อน

1. ตับ เป็นอวัยวะซึ่งมีต่อมที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย อยู่ช่องท้องใต้กระบังลม ทำหน้าที่สร้างน้ำดี แล้วนำไปเก็บสะสมไว้ในถุงน้ำดี น้ำดี ประกอบด้วยเกลือน้ำดี และรงควัตถุน้ำดี ท่อนำน้ำดีช่วงแรกเรียกว่า common bile duct ช่วงสุดท้ายก่อนที่จะเปิดเข้า ลำไส้เล็ก โดยไปรวมกับท่อจากตับอ่อนเรียกว่า hepato pancreatic duct ตับมีหน้าที่โดยสรุปดังนี้

1. สร้างน้ำดีในการช่วยให้ไขมันแตกตัว ทำให้น้ำย่อยไขมันสามารถย่อยไขมันได้ดีในลำไส้เล็ก

2. ทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ

3. สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงในระยะเอ็มบริโอ

4. ช่วยในการแข็งตัวของเลือด

5. สลายกรดอะมิโนให้เป็นยูเรีย

6. ศูนย์กลางเมแทบอลิซึมอาหารที่ให้พลังงานได้

7. สะสมไกลโคเจนซึ่งเป็นน้ำตาลจากเลือดสะสมไว้ในตับ

8. ทำลายจุลินทรีย์โดยมี kupffer’ s cell ทำหน้าที่ทำลายจุลินทรีย์

9. คุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้เกิน 0.1 %

2. ตับอ่อน ช่วงแรกเรียกว่า ท่อแพนครีเอติค ( pancreatic duct) ช่วงหลังเรียกว่าท่อจากตับอ่อน ( hepato pancreaticduct) หน้าที่ของตับอ่อนสรุปได้ดังนี้
1. มีต่อมสร้างน้ำย่อยหลายชนิดส่งให้ลำไส้เล็กทำหน้าที่ย่อย แป้ง โปรตีนและไขมัน

2. มีต่อมไร้ท่อควบคุมน้ำตาลในเลือด

3. สร้างสารที่เป็นด่างกระตุ้นให้น้ำย่อยในลำไส้เล็กทำงานได้ดี โดยเฉพาะเอนไซม์